3. กำจัดวัชพืชที่มาแย่งอาหารของต้นชาโดยวิธีธรรมชาติอย่างแท้จริงเช่นกัน
การกำจัดวัชพืชนั้น โดยทั่วไปมักจะใช้การตัดซึ่งมีราคาแพง
ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง อีกวิธีหนึ่ง คือ ปล่อยให้ต้นชาโตออกทางด้านข้าง
เพื่อไม่ให้แสงแดดส่องลงสู่พื้นได้ วิธีนี้ยึดหลัก “เมื่อไม่มีแสงแดด ก็ไม่มีวัชพืช”
แต่ก็นำมาซึ่งปัญหาเชื้อราที่เกิดขึ้นที่โคนต้นชา และลามขึ้นมาถึงลำต้นและกิ่ง
ทำให้คุณภาพของชาลดลงเนื่องจากถูกแย่งธาตุอาหารจากการระบาดของเชื้อราที่เกาะอยู่นั้น
สวนชาดอยช้างได้คิดค้นวิธีกำจัดวัชพืช 5 วิธี ได้แก่
3.1 ใช้ใบไม้แห้งหรือหญ้าใบไผ่คลุมดิน
เพื่อไม่ให้มีแสงอาทิตย์ส่องถึงดินได้
วัชพืชจึงไม่ขึ้นงอกงาม
และพืชที่ใช้คลุมดินนี้ก็จะกลายเป็น
ปุ๋ยธรรมชาติให้กับต้นชาต่อไป
3.2 พรวนดินกำจัดวัชพืช
วิธีนี้เป็นการเพิ่มออกซิเจนให้กับดิน
และรากของต้นชาด้วย
3.3 เมื่อพรวนดินแล้ว ปลูกหญ้าแผ่นดินเย็น
ป้องกันไม่ให้วัชพืชขึ้น และใช้เป็น
พืชคลุมดินถาวรไปในตัว
เมื่อหญ้าโตขึ้นซึ่งจะใช้เวลานานกว่าวัชพืชมาก
จึงตัดใบหญ้าที่มีใบอ่อนกว่าวัชพืชมากทิ้งเสีย
แล้วก็จะกลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติ
ให้กับต้นชาไปในตัว
3.4 ปลูกถั่วลิสง แล้วเตรียมทำการผลิตปุ๋ย
ลงบนพื้นที่โดยตรงต่อไป
ซึ่งเป็นผลพลอยได้ใน
การให้ปุ๋ยกับต้นชา
อย่างประหยัดค่าใช้จ่ายได้สูงสุด
3.5 หลังจากพรวนดินแล้ว
ปลูกถั่วบราซิลเป็น
พืชคลุมดินถาวร
ต้นถั่วบราซิลมีคุณสมบัติพิเศษ
ที่วัชพืชไม่สามารถขึ้นแซมได้
และยังเป็นตัวดึงไนโตรเจน
ในอากาศลงสู่พื้นดินไปในตัวด้วย
ผลพลอยได้: การเพิ่มขึ้นของสารต้านอนุมูลอิสระ
จากการทดลองผสมสมุนไพรพื้นเมืองลงในการผลิตปุ๋ยธรรมชาติ
เพื่อขับไล่แมลงศัตรูพืช สังเกตได้ว่าใบชางามผิดปกติ
จึงนำใบชาสดไปทดสอบคุณภาพของใบชา พบว่า ค่าของสารต้านอนุมูลอิสระ
ได้เพิ่มขึ้นจากปีแรก 138,000 UmolTrolox/100 กรัม เป็น 484,082 UmolTrolox/100 กรัม
ภายในระยะเวลา 7 ปี ซึ่งหมายความว่า
ชาของเราสามารถป้องกันโรคภัยไข้เจ็บให้กับผู้ดื่ม
เพิ่มขึ้นถึงกว่า 3 เท่าตัว
Thai 
English